นับตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2378 หน้าประวัติศาสตร์ไทยก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปหลายๆด้านโดยบุคคลชาวต่างชาติและ ต่างศาสนาคนหนึ่งนาม หมอบรัดเลย์ ได้เดินทางมาเหยียบแผ่นดินสยามครั้งแรกและได้ใช้กว่าครึ่งชีวิตของท่านในการ สร้างคุณูปการแก่สยามประเทศ
ย้อนรอย...... 200 ปี หมอบรัดเลย์
บิดาแห่งการพิมพ์สยาม
คุณูปการ แห่งอดีตของวงการพิมพ์ไทย
นับตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2378 หน้าประวัติศาสตร์ไทยก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปหลายๆด้าน โดยบุคคลชาวต่างชาติและต่างศาสนาคนหนึ่งนาม หมอบรัดเลย์ ได้เดินทางมาเหยียบแผ่นดินสยามครั้งแรกและได้ใช้กว่าครึ่งชีวิตของท่านในการ สร้างคุณูปการแก่สยามประเทศ ทั้งในด้านการพิมพ์ การแพทย์ ภาษา ศาสนา หนังสือพิมพ์และวิทยาศาสตร์ นายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า หมอบรัดเลย์ เกิดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2347 ตรงกับรัชกาลที่ 1 ของกรุงรัตนโกสินทร์ หมอบรัดเลย์เกิดที่เมืองมาร์เซลลัส รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา บิดาคือแดน บรัดเลย์ ผู้ก่อตั้งเมืองมาร์เซลลัส มีอาชีพเป็นผู้พิพากษา ชาวนา และบรรณาธิการหนังสือเกี่ยวกับการเกษตร มารดาคือยูนิซ บีช บรัดเลย์
ในช่วงเวลาที่หมอบรัดเลย์เกิดจนถึงรุ่นหนุ่ม สังคมอเมริกันได้เกิดความเคลื่อนไหวที่สำคัญซึ่งมีอิทธิพลต่อแนวความคิดและ วัฒนธรรมอเมริกัน คือการฟื้นสำนึกทางศาสนาครั้งใหญ่ เป้าหมายสำคัญคือการฟื้นฟูหลักธรรมของศาสนาคริสต์โปรเตสแตนต์ โดยมีการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านอบายมุข การเคลื่อนไหวเพื่อการเลิกทาส และการรณรงค์เพื่อเดินทางออกไปเผยแพร่ศาสนายังประเทศต่างๆทั่วโลก การฟื้นสำนึกทางศาสนาที่มีอิทธิพลต่อหมอบรัดเลย์โดยตรง หมอบรัดเลย์ในวัยหนุ่มตั้งใจจะศึกษาทางด้านอักษรศาสตร์ แต่ต้องประสบปัญหาทางด้านการพูดออกเสียงและมีอายุมากเกิน จึงต้องเบนเข็มเข้าเรียนทางด้านการแพทย์แทน โดยเริ่มเข้าศึกษาชั้นต้นกับคลินิกแพทย์คนหนึ่งที่ออเบิ์รน แต่ต้องพักการเรียนระยะหนึ่งเนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ ต่อมาเมื่อสุขภาพแข็งแรงแล้วก็คิดจะเรียนต่อทางด้านศาสนา เพื่อเป็นผู้สอนศาสนา แต่ก็ต้องประสบปัญหาทางด้านการเงินและอายุอีก จึงหันกลับมาเรียนต่อ ทางด้านการแพทย์อีกครั้ง โดยมุ่งหวังว่าจะทำให้สามารถทำงานเผยแพร่ศาสนาได้ ในที่สุด หมอบรัดเลย์ก็เรียนสำเร็จ ได้รับปริญญาทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ในปี 2376
เมื่อได้ปริญญาทางการแพทย์แล้วหมอบรัดเลย์จึงสมัครเป็นมิชชันนารี กับคณะ เอ บี ซี เอฟ เอ็ม (American Board of Commissioner Foreign Mission) คือคณะมิชชันนารีเพื่อพันธกิจต่างชาติ หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า "คณะอเมริกันบอร์ด" คณะอเมริกันบอร์ดอนุมัติให้หมอบรัดเลย์เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาในเอเชียได้ จุดหมายปลายทางคือประเทศสยาม ซึ่งกำลังเป็นที่รู้จัก ตามธรรมเนียมของการเดินทางมายังประเทศห่างไกลเช่นนี้ มิชชั่นนารีจำเป็นต้องมีคู่แต่งงานเดินทางมาด้วย หมอบรัดเลย์จำเป็นต้องหาผู้หญิงที่พร้อมจะเป็นคู่ชีวิตและยอมเป็นคู่ชีวิต และยอมเดินทางไปทำงานไกลบ้านเกือบครึ่งโลกด้วยความเต็มใจ ไม่นานหมอบรัดเลย์ก็ได้พบผู้หญิงคนนั้น เธอคือ เอมิลี่ รอยซ์
1 กรกฎาคม 2377 หมอบรัดเลย์ออกเดินทางจากบอสตันมุ่งหน้าสู่สยาม โดยเรือ "แคชเมียร์" ใช้เวลารอนแรมในทะเลเป็นเวลา 6 เดือน หมอบรัดเลย์ก็มาถึงสิงคโปร์ในวันที่ 12 มกราคม 2378 และแวะพักอยู่ที่สิงค์โปร์อีก 6 เดือน ก่อนจะเดินทางเข้าสู่สยามในวันที่ 18 กรกฎาคม 2378 เป็นวันเกิดปีที่ 31 ปีพอดี
เมื่อมาถึงสยามหมอบรัดเลย์ได้อาศัยพักรวมอยู่กับครอบครัวของศาสนา จารย์สตีเฟน จอห์นสัน ที่ย่านวัดเกาะ โดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแผ่ศาสนากับชุมชนชาวจีนก่อนเป็นลำดับแรก ที่บ้านพักย่านวัดเกาะนี้ หมอบรัดเลย์ได้เปิดโอสถสถาน ขึ้น เพื่อทำการรักษา จ่ายยา และหนังสือเกี่ยวกับศาสนาให้กับคนไข้ แต่ไม่นานกิจการนี้ก็ถูกเพ่งเล็ง ว่าอาจทำให้ชาวจีนกระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาลสยามได้ จึงมีการกดดันเจ้าของที่ดินคือนายกลิ่นไม่ให้มิชชันนารีเช่าที่ต่อไปอีก หมอบรัดเลย์จึงต้องย้ายมาเช่าที่ของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ที่ บริเวณหน้าวัดประยูรวงศาวาส เป็นที่ทำการแห่งใหม่
ที่อยู่แห่งใหม่นี้เอง ที่หมอบรัดเลย์ได้ทำการผ่าตัดครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การแพทย์ของไทย คือการตัดแขนพระภิกษุรูปหนึ่งที่ได้รับอุบัติเหตุจากกระบอกบรรจุดินดำทำพลุ แตก ในงานฉลองที่วัดประยูรวงศาวาส หมอบรัดเลย์ต้องตัดแขนพระภิกษุรูปนี้เพื่อรักษาชีวิตไว้ ทางการแพทย์ถือว่าเป็นการผ่าตัดแผนปัจจุบันครั้งแรกของไทย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2380
ผลงานชิ้นสำคัญทางการ แพทย์อีกเรื่องหนึ่งคือ การริเริ่มปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ เป็นผลสำเร็จครั้งแรกในเมืองไทย ทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเงินจำนวนหนึ่งเพื่อช่วย เหลือในการหาซื้อเชื้อหนองฝีโค ซึ่งต้องสั่งนำเข้าจากสหรัฐอเมริกามาใช้เพื่อปลูกฝีให้ชาวสยาม และยังทรงให้แพทย์หลวงมาศึกษาวิธีการปลูกฝีจากหมอบรัดเลย์ เพื่อขยายการปลูกฝีให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้นในประเทศไทย
หลังจากที่หมอบรัดเลย์ประสบความสำเร็จอย่างมากในทางการแพทย์ ก็เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในบางกอก แต่นั่นกลับไม่ช่วยให้กิจกรรมทางด้านศาสนาประสบความสำเร็จไปด้วย ตลอดชีวิตของหมอบรัดเลย์ในสยามซึ่งกินเวลาเกือบ 40 ปีนั้น ทำให้กลับใจเปลี่ยนศาสนาได้ไม่กี่คน หรือเรียกว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าทุกสิ่งที่หมอบรัดเลย์ทำนั้นล้วนแต่เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางศ่าสนา ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการแพทย์หรือการพิมพ์ก็ตาม
ส่วนงานที่หมอบ รัดเลย์ทำและพัฒนาขึ้นตลอดเวลาคือ การพิมพ์ สิ่งที่น่าสนใจในงานพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแผ่ ศาสนา เป็นสิ่งสนับสนุนทางการแพทย์ และยังเป็นรายได้เพื่อจุนเจือครอบครัวอีกด้วย
การพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ใน สยามเริ่มต้นขึ้นเมื่อหมอบรัดเลย์เดินทางจากสิงคโปร์มาสยามและได้ซื้อตัว พิมพ์อักษรไทยและแท่นพิมพ์ไม้ติดตัวมาด้วย ตัวพิมพ์และแท่นพิมพ์ไม้ชุดแรกที่เข้าสู่สยามพร้อมกับหมอบรัดเลย์ถูกนำมา ตั้งเป็นโรงพิมพ์ขึ้นที่ตรอกกัปตันบุช อันเป็นที่ตั้งของคณะ เอ บี ซี เอฟ เอ็ม และได้ดำเนินการพิมพ์ใบปลิว หนังสือต่างๆในระยะแรก ตัวพิมพ์และแท่นพิมพ์ไม้นี้หมอบรัดเลย์กล่าวถึงไว้ว่า เป็นสิ่งที่อัปลักษณ์มาก
จนกระทั่งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2379 โรงพิมพ์หมอบรัดเลย์จึงได้รับแท่นพิมพ์ใหม่ที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น ยี่ห้อโอติส และสแตนดิ้ง ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์การพิมพ์สยาม เพราะทำให้ประสิทธิภาพในการพิมพ์สูงขึ้น และสวยงามขึ้นอย่างมาก
หมอบรัด เลย์ได้ให้กำเนิดสิ่งพิมพ์ฉบับแรกที่พิมพ์ขึ้นในประเทศคือ หนังสือบัญญัติสิบประการ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2379 หลังจากนั้นกิจการโรงพิมพ์ภายใต้การดูแลของหมอบรัดเลย์ก็เริ่มต้นพิมพ์ เกี่ยวกับศาสนาออกมาอีกมากมาย
|
ต่อ มาในปี 2382 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้โรงพิมพ์หมอบรัดเลย์พิมพ์ประกาศห้ามสูบฝิ่น จำนวน 9,000 ฉบับ นับเป็นสิ่งตีพิมพ์เอกสารทางราชการฉบับแรกในประวัติศาสตร์สยาม และถือเป็นหมายสำคัญว่ายุคแห่งการคัดด้วยลายมือกำลังจะหมดไป เป็นการเริ่มต้นยุคสมัยแห่งการพิมพ์สยาม
ในที่สุดพัฒนาการของการพิมพ์ในสยามก็มาถึงจุดสำคัญที่สุดคือ หมอบรัดเลย์และคณะสามารถหล่อตัวพิมพ์ภาษาไทยขึ้นสำเร็จเป็นครั้งแรกในปี 2384 ตัวพิมพ์ชุดนี้หมอบรัดเลย์ยังได้ทำขึ้นอีกเพื่อทูลเกล้าฯถวายเจ้าฟ้ามงกุฎ สำหรับใช้ที่โรงพิมพ์วัดบวรนิเวศวิหาร
ต่อมาในวันที่ 4 กรกฎาคม 2387 หมอบรัดเลย์ก็ได้ออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของสยามขึ้นในชื่อว่า หนังสือจดหมายเหตุ บางกอกรีคอเดอ กิจการโรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ได้พิมพ์หนังสือออกมาจำนวนมาก โดยเฉพาะในระยะหลังเมื่อหมอบรัดเลย์ได้รับพระราชทานที่ดินให้เช่าบริเวณปาก คลองบางกอกใหญ่ งานพิมพ์ส่วนใหญ่ไม่จำกัดวงเฉพาะงานทางด้านศาสนาอีกต่อไปแต่ได้พิมพ์หนังสือ หลากหลายประเภท ทั้งนิยาย ประวัติศาสตร์ กฎหมาย วรรณคดี เพื่อจำหน่ายแก่บุคคลที่สนใจทั่วไป
|
เกือบ 40 ปีที่อยู่ในสยาม หมอบรัดเลย์ได้ทุ่มเททำงานอย่างหนักตลอดเวลา มีโอกาสเดินทางกลับบ้านเกิดเพียงครั้งเดียว เป็นช่วงเวลาที่ เอมิลี บรัดเลย์ เสียชีวิตลงในสยาม การเดินทางกลับบ้านครั้งนี้กินเวลา 3 ปี คือระหว่างปี 2390-2393 เมื่อกลับมาสยามอีกครั้ง หมอบรัดเลย์ก็มาพร้อมกับภรรยาคนใหม่ คือซาราห์ แบลชลี หลังจากนั้นก็ลงหลักปักฐานอยู่ในสยามจนเสียชีวิตที่นี่ทั้งสองคน หมอบรัดเลย์มีบุตรกับเอมิลี 5 คน และกับซาราห์ 5 คนหมอบรัดเลย์มีชีวิตอยู่ในสยามผ่านเวลามาถึง 3 แผ่นดิน คือตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 รัชการลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 โดยที่ไม่มีโอกาสร่ำรวยและสุขสบายเลย หมอบรัดเลย์เสียชีวิตลงในปี 2416 ขณะมีอายุได้ 69 ปี อนุสรณ์สถานของครอบครัวบรัดเลย์อยู่ที่สุสานโปรเตสแตนท์ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ถนนเจริญกรุง แต่สิ่งที่เป็นอนุสรณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหมอบรัดเลย์ต่อชาวไทยก็คือการ พิมพ์และการแพทย์ แม้ว่าหมอบรัดเลย์จะไม่ได้รับการยกย่องให้เป็น"บิดา"ทั้งทางด้านการพิมพ์และ การแพทย์แผนใหม่ของไทย แต่สิ่งที่หมอบรัดเลย์ได้ริเริ่มบุกเบิกไว้เป็นคนแรกนั้นก็ไม่อาจลบเลือนไป ได้เช่นกัน
นายแพทย์คฑาวุธ โลกาพัฒนา แพทย์ประจำโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน "ผมได้แรงใจในการศึกษาเรื่องของหมอบรัดเลย์จาก อาจารย์นายแพทย์ประสงค์ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการคนที่ 2 ของโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน อาจารย์ประสงค์คิดว่าควรมีอนุสรณ์ถึงท่านในฐานะมิชชันนารีผู้ทำคุณประโยชน์ ต่อชาวไทย จึงตั้งชื่ออาคารหลังหนึ่งในโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนว่า อาคารหมอบรัดเลย์ เมื่อปี 2528 มีการจัดสัมมนาเนื่องในโอกาส 150 ปีที่หมอบรัดเลย์มาเมืองไทย โดยอาจารย์ประสงค์ให้ผมไปอ่านบทความที่ท่านเขียนขึ้น ผมจึงสนใจหมอบรัดเลย์ตั้งแต่นั้นมา ตระกูลหมอบรัดเลย์อยู่ที่เมืองมาร์เซลลัสในนิวยอร์ก มีถนนบรัดเลย์ซึ่งตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่บิดาของท่าน หมอบรัดเลย์นับเป็นผู้มีคุณูปการต่อเมืองไทยในหลายด้าน ในด้านการแพทย์เป็นผู้เริ่มต้นการแพทย์แผนตะวันตกในเมืองไทย นั่นคือมีการผ่าตัดเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศด้วยฝีมือของท่าน นั่นคือการผ่าตัดเนื้องอกที่หน้าผากของชาวบ้านคนหนึ่ง ตัดแขนคนไข้ที่บาดเจ็บจากเหตุการณ์ปืนใหญ่ระเบิด มีการผ่าศพครั้งแรกคือผ่าศพเมีย(คนแรก)ที่เสียชีวิตด้วยวัณโรค หรือการรักษาโรคต้อกระจก และการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ
ในด้านการพิมพ์ นอกเหนือจากการเรียบเรียง คัมภีร์ครรภ์ทรักษา ให้ความรู้เรื่องการคลอดและรณรงค์ให้เลิกการอยู่ไฟแล้ว 10 ปีแรกส่วนใหญ่หนังสือที่พิมพ์จะเกี่ยวกับการเผยแพร่ศาสนา หลังจากเมียคนแรกเสียชีวิต หมอบรัดเลย์พาลูกกลับอเมริกา 2 ปี เมื่อกลับมาเมืองไทยอีกครั้งท่านต้องหาเลี้ยงตัวเองด้วยการทำธุรกิจโรงพิมพ์ พิมพ์หนังสือวรรณคดี เช่น สามก๊ก นิราษเมืองลอนดอน แบบเรียนจินดามณี"
ไพ ศาลย์ เปี่ยมเมตตาวัฒน์
สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์ ผู้สะสมหนังสือเก่าและผู้มีหนังสือเก่าของหมอบรัดเลย์มากที่สุดในประเทศไทย "หมอบรัดเลย์ถือว่าเป็นบิดาแห่งการพิมพ์ของไทย โรงพิมพ์ของท่านเป็นแท่นพิมพ์มือโยก ตั้งอยู่บนแพ ป้อมวิชัยประสิทธิ์ในปัจจุบัน ท่านสร้างหนังสือที่มีประโยชน์กับคนไทยและสังคมไทยจำนวนมหาศาล องค์ความรู้ที่ผลิตออกมาจากโรงพิมพ์ของท่านเป็นประโยชน์และปลุกกระแสเรื่อง การพิมพ์จากอดีตจนก้าวหน้าถึงยุคปัจจุบัน ถือเป็นการวางพื้นฐานการพิมพ์นับตั้งแต่ท่านเป็นคนแรกที่พิมพ์หนังสือ จำหน่ายและทำเป็นธุรกิจมีการจัดทำเป็นใบโฆษณาขายหนังสือ ตั้งโรงพิมพ์ ริเริ่มการซื้อลิขสิทธิ์หนังสือ การบอกรับการเป็นสมาชิก นับเป็นโรงพิมพ์หรือสำนักพิมพ์แรกที่มีการออกแบบโลโก้ ออกแบบชื่อหนังสืออย่างสวยงาม หน้าปกมีการเปลี่ยนการออกแบบที่ไม่ซ้ำกัน มีการพิมพ์หนังสือปกแข็งปั๊มทอง นำหลักการของการทำหนังสือแบบฝรั่งมาใช้ คือการเย็บเล่มแบบเย็บกี่ สันโค้ง
หมอบรัดเลย์พิมพ์หนังสือหลากหลายและไม่มีประเด็นทางการเมือง ทั้งจดหมายเหตุ พงศาวดารไทย วรรณคดี เช่น สามก๊ก ที่นับเป็นการสืบอายุวรรณคดีให้ยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนหนังสือเล่มอื่นที่สำคัญ เช่นอักขราภิธานศรับท์ เป็นหนังสือคล้ายพจนานุกรม บรรจุคำไว้มากมาย มีคำศัพท์โบราณ เช่นคำว่า โลกานุวัตร เล่มที่ผมมีได้มาจากอังกฤษ ในเมืองไทยน่าจะมีอยู่ไม่เกินสามสี่ฉบับ ราคาน่าจะอยู่ที่ 1.5 แสนบาท นิราษเมืองลอนดอนเมื่อ 20 ปีที่แล้วราคา 4 หมื่นบาทปัจจุบันน่าจะเป็นแสน หนังสือบางกอกรีคอเดอ เป็นจดหมายเหตุบันทึกเหตุการณ์ช่วงต้นรัชกาลที่ 5 ออกวันละ 1 แผ่น หมอบรัดเลย์เอา บางกอกรีคอเดอ 2 ปีมารวมเล่ม เนื้อหาเป็นบันทึกเหตุการณ์ในราชสำนัก การเกิด-ตายของบุคคลสำคัญ ต้นฉบับราคามากกว่าแสน ตอนหลังมีการนำมาพิมพ์ซ้ำ หนังสือหมอบรัดเลย์เล่มอื่นๆตกอยู่หลักพันขึ้นไป ขึ้นอยู่กับสภาพ นับว่าหนังสือของหมอบรัดเลย์เป็นหนังสือที่มีคุณค่า เป็นหนังสือมีสาระ หายาก ราคาจึงแพงที่สุด"
หนังสือเด่นที่แต่งและพิมพ์จำหน่าย
(ข้อมูลจากหนังสือสารคดี ปีที่ 20 ฉบับที่ 233 กรกฎาคม 2547)
ตำราปลูกฝีโค หรือปลูกฝีดาษเป็นหนังสือเล่มแรกที่เกี่ยวกับการแพทย์สมัยใหม่ที่เขียนขึ้น ทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่ออธิบายถึงวิธีการปลูกฝีป้องกันโรคฝีดาษที่ระบาดอยู่ในเวลานั้น และได้รับพระราชทานรางวัลเป็นเงิน 3 ชั่ง (240 บาท) ซึ่งเป็นจำนวนที่มากในสมัยนั้น ต้องพิมพ์ถึงสองครั้ง
คัมภีร์ครรภ์ รักษา เป็นผลงานแปลเกี่ยวกับการแพทย์เล่มที่ 2 ที่หมอบรัดเลย์พิมพ์ขึ้นทูลเกล้าฯถวายเมื่อ พ.ศ. 2385 จำนวน 200 เล่มมีความยาว 167 หน้า มีรูปประกอบพิมพืที่โรงพิมพ์อเมริกันบอร์ด(A.B.C.F.M.Press)
หนังสือ อักขราภิธานศรับท์ หนังสือเล่มนี้หมอบรัดเลย์ไม่ได้เป็นคนทำ แต่เป็นค้นคิดให้ผู้อื่นทำและจัดพิมพ์ ดังปรากฏในแจ้งความต้นเล่มว่า "หนังสืออักขราภอธานศรับท์นี้ เปนคำไทยอธิบายโดยพิศดารตามภาษาไทย ข้าพเจ้าหมอบรัดเลได้ให้อาจารย์ทัดคัดแปล แลอธิบายโดยละเอียดตามวิธีอักษรสยามภาคย์ ได้ตีพิมพ์ริมป้อมปากคลองบางกอกใหญ่ หลังวังสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ จ้าวฟ้าจาคุรณรัศมี จบลงเมื่อ ณ วันอังคาร เดือนสิบสอง ขึ้นค่ำหนึ่ง จุลศักราช 1235 ปีรกาเบญจศก" หมายความว่าพิมพ์เสร็จเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2416 ภายหลังหมอบรัดเลย์ถึงแก่กรรม 4 เดือน ข้อความท้ายแจ้งความนั้นมาเติมขึ้นภายหลังเพราะปรากฎว่าบุตรชายคนที่ชื่อ Dan F.Bradley ได้เป็นผู้ดำเนินการจัดพิมพ์ต่อมา และรัชกาลที่ 5 ทรงช่วยซื้อไว้ 100 เล่ม
นิราษเมืองลอนดอน เป็นหนังสือบทกลอนขนาดยาวเรื่องแรกที่หมอบรัดเลย์จัดพิมพ์จำหน่าย เป็นการบุกเบิกด้านวรรณกรรมให้แพร่หลายมากขึ้น และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นครั้งแรกที่มีการซื้อขายลิขสิทธิ์ วรรณกรรมไทย โดยหมอบรัดเลย์ได้ซื้อกรรมสิทธิ์หนังสือนิราษเมืองลอนดอนของหม่อมราโชทัย เป็นเงิน 400 บาท เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2404 และพิมพ์ออกจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2404
สามก๊ก เป็นพงศาวดารจีนเรื่องแรกที่หมอบรัดเลย์พิมพ์จำหน่าย หนังสือ สามก๊ก เป็นเรื่องยาวที่ต้องใช้เวลาพิมพ์นาน ได้เขียนปรับทุกข์กับคนสั่งจองอยู่ตลอดเวลา เช่นในฉบับที่ 1 มกราคม 2409 ลงแจ้งความว่า "เล่มที่หนึ่งรวม 24 เล่มสมุดไทย ตีเกือบจะแล้วเป็นการใหญ่ยืดยาวนัก เกินสัญญาไปได้ได้สักสองเดือน เพราะข้าพเจ้าผู้เจ้าของหมายการผิดไป ข้าพเจ้าขออภัยกับท่านที่ได้ลงชื่อไว้ทุกๆคนเถิด ตั้งแต่นี้ไปเล่มต้นจะตีใน 10 วัน จะแล้วแลจะต้องผูกให้ได้สัก 350 เล่ม จึงจะจำหน่ายได้"
ดังนี้ แสดงว่ามีการสั่งจองซื้อหนังสือเกิดขึ้นแล้วจากการพิมพ์หนังสือ สามก๊ก หนังสือเรื่องนี้กว่าจะพิมพ์จบครบชุดก็กินเวลานับปี ทั้งคนอ่านคนพิมพ์ต้องมีความอดทนเป็นอันมาก หมอบรัดเลย์ก็ไม่ค่อยมีทุน ฉะนั้นเล่ม 4 ซึ่งเป็นเล่มจบจึงน่าจะสำเร็จในราวกลาง พ.ศ. 2410 (ไม่ใช่ พ.ศ. 2408 ที่อ้างกันเป็นส่วนมาก) ในครั้งนั้น"พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับช่วยซื้อหมอบรัดเลย์ เห็นจะราวสัก 50 ฉบับ พระราชทานพระราชโอรสธิดาพระองค์ละฉบับทั่วหน้า เหลือนั้นก็เห็นจะพระราชทานผู้อื่นต่อไป"
พงษาวดารฝรั่งเศส เป็นผลงานที่หมอบรัดเลย์แปล ถือว่ายาวที่สุดทั้งที่ยังไม่จบ ได้พิมพ์เมื่อเดือน 10 ปีกุน นพศก จุลศักราช 1249 (พ.ศ. 2430) แสดงว่าได้แปลทิ้งไว้ แล้วภรรยาหรือบุตรนำมาพิมพืจำหน่ายภายหลังจากที่หมอบรัดเลย์ถึงแก่กรรมแล้ว 14 ปี
ขอขอบคุณ
-นายแพทย์คฑาวุธ โลกาพัฒนา โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
-คุณไพศาลย์ เปี่ยมเมตตาวัฒน์ สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์
-สำนักพิมพ์มติชน
-นิตยสารสารคดี ปีที่ 20 ฉบับที่ 233 กรกฎาคม 2547
|
สุดารัตน์ เลิศสีทอง/2004-12-22
คำสำหรับค้นหา:หมอบรัดเลย์ ,บรัดเลย์
ขอบคุณที่มา : http://www.thaiprint.org/viewarticle.php?articleid=18